top of page

วิธีการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม

วิธีการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม

รศ.พญ.เยาวนุช คงด่าน


มะเร็งเต้านมเป็นหนึ่งในโรคมะเร็งที่พบได้บ่อยในผู้หญิงทั่วโลก การตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมเป็นวิธีที่สำคัญในการตรวจหามะเร็งเต้านมในระยะเริ่มต้น ซึ่งสามารถเพิ่มโอกาสในการรักษาและลดอัตราการเสียชีวิตได้ บทความนี้จะนำเสนอแนวทางการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมตามมาตรฐานนานาชาติและแนวทางจากสมาคมโรคเต้านมแห่งประเทศไทย รวมถึงเหตุผล ประโยชน์ ข้อจำกัดของการตรวจคัดกรอง วิธีการคัดกรองที่ใช้ และแนวทางที่โรงพยาบาลนมะรักษ์แนะนำ


ข้อดีของการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม

  • เพิ่มโอกาสรักษาหาย: การพบมะเร็งระยะแรกช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา การตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอช่วยลดอัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งเต้านมได้อย่างมีนัยสำคัญ

  • หลีกเลี่ยงวิธีการรักษาที่ซับซ้อน ราคาแพงและมีผลข้างเคียงมากหากตรวจพบตั้งแต่ระยะต้นๆ เช่นการตัดเต้านม การให้ยาเคมีบำบัด ยาพุ่งเป้า ยาภูมิคุ้มกันบำบัด เป็นต้น

  • เปิดโอกาสให้แพทย์เลือกวิธีการรักษาที่มีผลกระทบน้อยกว่า หากตรวจพบมะเร็งเต้านมใน เช่น การผ่าตัดแบบสงวนเต้านม หรือการใช้ยาเคมีบำบัดในปริมาณที่น้อยลง ซึ่งช่วยลดผลข้างเคียงและรักษาคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยได้ดีกว่า

  • ประหยัดค่าใช้จ่ายในการรักษา: การรักษามะเร็งระยะแรกมักมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการรักษามะเร็งระยะลุกลาม


ข้อจำกัดของการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม

  • ผลบวกลวง: บางครั้งการตรวจอาจแสดงผลผิดพลาดว่าพบมะเร็ง ทั้งที่ไม่มีมะเร็งจริง ส่งผลให้เกิดความวิตกกังวลโดยไม่จำเป็น และต้องเสียเวลา ค่าใช้จ่ายในการตรวจเพิ่มเติม

  • ผลลบลวง: การตรวจคัดกรองอาจไม่สามารถตรวจพบมะเร็งที่มีอยู่จริงในบางกรณี ทำให้ผู้ป่วยพลาดโอกาสในการรักษาแต่เนิ่นๆ

  • ความไม่สบายและอาการเจ็บ: วิธีการตรวจบางอย่าง โดยเฉพาะการถ่ายภาพรังสีเต้านม (แมมโมแกรม) อาจทำให้รู้สึกอึดอัด ไม่สบาย หรือเจ็บเล็กน้อยระหว่างการตรวจ

  • ความเครียดและความกังวล: กระบวนการตรวจและการรอผลตรวจอาจก่อให้เกิดความเครียดและความวิตกกังวลแก่ผู้เข้ารับการตรวจได้

  • การรักษาเกินความจำเป็น: ในบางกรณี การตรวจพบมะเร็งระยะเริ่มต้นที่อาจไม่ลุกลามหรือเป็นอันตราย อาจนำไปสู่การรักษาที่เกินความจำเป็น


วิธีการคัดกรองมะเร็งเต้านม


การคัดกรองมะเร็งเต้านมมีหลายวิธี แต่ละวิธีมีบทบาทสำคัญในการตรวจหาความผิดปกติของเต้านมในระยะเริ่มต้น วิธีการคัดกรองหลักๆ แบ่งออกเป็นสามประเภท ได้แก่ การตรวจด้วยตนเอง การตรวจโดยบุคลากรทางการแพทย์ และการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ขั้นสูง แต่ละวิธีมีจุดแข็งและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน การใช้วิธีเหล่านี้ร่วมกันอย่างเหมาะสมจะช่วยเพิ่มโอกาสในการตรวจพบมะเร็งเต้านมได้ตั้งแต่ระยะแรก ซึ่งนำไปสู่การรักษาที่มีประสิทธิภาพและเพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายขาด


การตรวจเต้านมด้วยตนเอง (Breast Self-Examination - BSE)

ควรทำการตรวจประมาณ 3-10 วันหลังจากวันแรกของประจำเดือน โดยมีขั้นตอนดังนี้:

1. ยืนหน้ากระจก สังเกตขนาด สีผิว และลักษณะผิวหนังของเต้านม รวมถึงทิศทางของหัวนม

2. ยกมือขึ้นเหนือศีรษะ สังเกตความผิดปกติอีกครั้ง เช่น รอยบุ๋มที่ผิวหนัง

3. กดหรือบีบรอบหัวนม ตรวจหาเลือดหรือสารคัดหลั่งผิดปกติ

4. ใช้มือคลำเต้านมทีละข้าง โดยยกแขนข้างเดียวกับเต้านมที่ตรวจ คลำให้ทั่วทั้งเต้านม (อาจคลำเป็นวงกลม วนเป็นก้นหอย หรือจากด้านในออกด้านนอก)

5. คลำบริเวณใต้รักแร้ เพื่อหาก้อนหรือต่อมน้ำเหลืองที่โต

6. ทำซ้ำในท่านอน โดยนอนหงายและใช้ผ้าหนุนใต้ไหล่ข้างที่จะตรวจ

ลักษณะที่ผิดปกติ เช่นคลำได้ก้อนที่เต้านมหรือรักแร้ มีเลือดหรือน้ำออกจากหัวนม หัวนมชี้ผิดทิศทาง แผลที่ผิวหนังหรือหัวนม ผิวหนังบุ๋มหรือมีลักษณะดึงรั้ง เต้านมมีขนาดไม่เท่ากัน เนื้อเต้านมหนากว่าปกติ ผิวของเต้านมลักษณะบวมเหมือนผิวส้มโอ เป็นต้น ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัย

การตรวจเต้านมโดยแพทย์ (Clinical Breast Examination - CBE)

การตรวจเต้านมโดยแพทย์ร่วมกับการตรวจด้วยภาพทางการแพทย์จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการคัดกรองมะเร็งเต้านมได้อย่างมีนัยสำคัญ การตรวจเต้านมโดยแพทย์ยังคงมีความจำเป็น แม้จะได้รับการตรวจด้วยแมมโมแกรมและอัลตราซาวน์แล้ว เนื่องจาก:

  • แมมโมแกรมและอัลตราซาวน์สามารถตรวจพบความผิดปกติได้เพียง 85-90%

  • แพทย์สามารถตรวจพบความผิดปกติที่อาจไม่ปรากฏในภาพถ่าย เช่น เลือดออกจากหัวนม หรือแผลที่หัวนม

  • การตรวจโดยแพทย์เป็นการยืนยันและเพิ่มความครอบคลุมในการตรวจคัดกรอง ช่วยให้สามารถตรวจพบความผิดปกติของเต้านมได้มากขึ้น

การตรวจด้วยภาพทางการแพทย์ (Medical Imaging)

การตรวจด้วยภาพทางการแพทย์เป็นวิธีที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการสร้างภาพของเนื้อเยื่อเต้านม ช่วยให้แพทย์สามารถตรวจหาความผิดปกติที่อาจไม่สามารถสังเกตเห็นหรือคลำพบได้ด้วยวิธีอื่น วิธีการตรวจด้วยภาพทางการแพทย์ที่ใช้บ่อยในการคัดกรองมะเร็งเต้านม ได้แก่ การถ่ายภาพรังสีเต้านม (Mammography)  การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (Ultrasound) และการตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) แต่ละวิธีในการตรวจด้วยภาพทางการแพทย์มีข้อดีและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน แพทย์จะพิจารณาเลือกวิธีที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล โดยคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ เช่น อายุ ประวัติครอบครัว ความหนาแน่นของเนื้อเยื่อเต้านม และความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเต้านม 


  1. แมมโมแกรม (Mammogram)

    วิธีทำ: ใช้รังสีเอกซ์ปริมาณต่ำถ่ายภาพเต้านม โดยกดเต้านมระหว่างแผ่นพลาสติก 2 แผ่น

    ข้อดี: มีประสิทธิภาพสูงในการตรวจหามะเร็งเต้านมระยะเริ่มต้น สามารถตรวจพบก้อนเนื้อขนาดเล็กที่ยังคลำไม่พบและเทคโนโลยี 3D mammography เพิ่มความแม่นยำในการตรวจ

    ข้อจำกัด: อาจทำให้รู้สึกไม่สบายขณะตรวจ มีโอกาสเกิดผลบวกลวง โดยเฉพาะในผู้หญิงที่มีเนื้อเต้านมหนาแน่น และมีการใช้รังสี แม้จะในปริมาณต่ำ

  2. อัลตราซาวด์ (Ultrasound)

    วิธีทำ: ใช้คลื่นเสียงความถี่สูงสร้างภาพเนื้อเยื่อเต้านม

    ข้อดี: ไม่ใช้รังสี ปลอดภัยสำหรับการตรวจซ้ำ เหมาะสำหรับผู้หญิงที่มีเนื้อเต้านมหนาแน่น และสามารถแยกก้อนที่เป็นของเหลว (เช่น ถุงน้ำ) จากก้อนเนื้อได้ดี

    ข้อจำกัด: อาจไม่สามารถตรวจพบมะเร็งบางชนิดได้ดีเท่าแมมโมแกรมและผลการตรวจขึ้นอยู่กับทักษะของผู้ตรวจ

  3. การตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI)

    วิธีทำ: ใช้สนามแม่เหล็กและคลื่นวิทยุสร้างภาพเนื้อเยื่อเต้านมแบบละเอียด

    ข้อดี:  มีความแม่นยำสูงในการตรวจหามะเร็ง โดยเฉพาะในเนื้อเต้านมที่หนาแน่น ไม่ใช้รังสี และสามารถตรวจพบมะเร็งในระยะเริ่มต้นได้ดี

    ข้อจำกัด: มีค่าใช้จ่ายสูง อาจให้ผลบวกลวงได้บ่อย นำไปสู่การตรวจเพิ่มเติมที่ไม่จำเป็น ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโลหะในร่างกายหรือกลัวที่แคบ


แนวทางการเลือก

  • แมมโมแกรม: แนะนำเป็นการตรวจคัดกรองพื้นฐานสำหรับผู้หญิงอายุ 40 ปีขึ้นไป

  • อัลตราซาวด์: ใช้เสริมกับแมมโมแกรม โดยเฉพาะในผู้ที่มีเนื้อเต้านมหนาแน่น

  • MRI: แนะนำสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านม หรือมีการกลายพันธุ์ของยีน BRCA1 หรือ BRCA2


หมายเหตุ:: ไม่มีการรับประกันผลลัพธ์ที่ตายตัวและผลลัพธ์ที่ได้อาจไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

โพสต์ล่าสุด

ดูทั้งหมด

Comments


Commenting has been turned off.
bottom of page