top of page

ตรวจเลือดหามะเร็ง Liquid Biopsy: ctDNA ในมะเร็งเต้านม


Liquid Biopsy: ctDNA ในมะเร็งเต้านม

บทนำ

ในยุคที่การแพทย์มุ่งสู่ความแม่นยำและเฉพาะบุคคล (Precision Medicine) แนวคิดการวินิจฉัยและติดตามโรคมะเร็งด้วยวิธีที่ไม่รุกล้ำ (Non-invasive) เป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของวงการแพทย์ เทคโนโลยี “Liquid Biopsy” หรือ “การตรวจชิ้นเนื้อจากของเหลว” เป็นการวิเคราะห์ Circulating Tumor DNA (ctDNA) ซึ่งเป็นสารพันธุกรรมจากเซลล์มะเร็งที่หลุดเข้าสู่กระแสเลือด

เทคโนโลยี Liquid Biopsy เสริมศักยภาพในการติดตามการรักษาอย่างต่อเนื่อง การตรวจหาโรคคงเหลือหลังการผ่าตัด (Minimal Residual Disease) และการวิเคราะห์กลไกการดื้อยา โดยลดความจำเป็นในการเจาะชิ้นเนื้อแบบดั้งเดิม (Tissue Biopsy) ซึ่งมีความเสี่ยงและข้อจำกัดมากกว่า บทความนี้จะนำเสนอองค์ความรู้พื้นฐาน เทคโนโลยี แนวทางการประยุกต์ใช้ ตลอดจนข้อจำกัดและความท้าทายในการใช้ Liquid Biopsy สำหรับผู้ป่วยมะเร็งเต้านม

 

1. ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับ Liquid Biopsy และ ctDNA


1.1 นิยามและความสำคัญของ ctDNA Circulating Tumor DNA (ctDNA) คือชิ้นส่วน DNA ที่เซลล์มะเร็งปลดปล่อยออกมาสู่กระแสเลือด ซึ่งมักมีลักษณะทางชีวภาพที่จำเพาะ เช่น การกลายพันธุ์ (Mutation), รูปแบบเมทิลเลชัน (Methylation) ที่ผิดปกติ หรือขนาดโมเลกุลที่แตกต่างจาก Cell-free DNA (cfDNA) ที่มาจากเซลล์ปกติ


1.2 แหล่งตัวอย่างทางชีวภาพ (Biospecimens)

  • พลาสมาและซีรัม (Plasma and Serum): ด้วยวิธีการปั่นแยกจากเลือด เป็นที่นิยมใช้ในการตรวจ ctDNA มากที่สุด

  • น้ำไขสันหลัง (Cerebrospinal Fluid - CSF): เหมาะสำหรับมะเร็งในระบบประสาทส่วนกลาง

  • ของเหลวอื่นๆ: เช่น ปัสสาวะ, น้ำลาย, และน้ำในช่องเยื่อหุ้มปอด/ช่องท้อง สามารถนำมาใช้ได้ในมะเร็งบางชนิด


1.3 เทคโนโลยีที่ใช้ในการตรวจ ctDNA

  • PCR-based Methods: เช่น Digital Droplet PCR (ddPCR) และ BEAMing เหมาะสำหรับการตรวจหาการกลายพันธุ์เฉพาะตำแหน่งที่ทราบอยู่แล้ว

  • Next-Generation Sequencing (NGS): เทคโนโลยีการหาลำดับเบสที่สามารถวิเคราะห์การกลายพันธุ์ได้ครอบคลุมหลายตำแหน่งพร้อมกัน รวมถึงการตรวจ Methylation และ Fragmentomics

  • Multimodal Approaches: แนวทางผสมผสานที่วิเคราะห์ข้อมูลหลายมิติ (เช่น Mutation, Methylation, Copy Number Variation) เพื่อเพิ่มความไวและความแม่นยำในการตรวจ


2. การประยุกต์ใช้ Liquid Biopsy ในผู้ป่วยมะเร็งเต้านม

 

2.1 การตรวจคัดกรองและวินิจฉัยระยะแรก (Screening and Early Diagnosis) แม้ปัจจุบันยังไม่ได้รับการรับรองให้ใช้เป็นการตรวจคัดกรองในประชากรทั่วไป แต่มีการศึกษาที่ชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ในกลุ่มกลุ่มเสี่ยงสูง เช่น ผู้ที่มีการกลายพันธุ์ของยีน BRCA1/2 หรือผู้ที่มีลักษณะเนื้อเต้านมหนาแน่นสูง (Dense Breasts)

ข้อจำกัดของการใช้ Liquid Biopsy เพื่อการตรวจคัดกรอง

แม้ว่าการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมตั้งแต่ระยะแรกเริ่มจะเป็นเป้าหมายสูงสุด แต่การนำ Liquid Biopsy มาใช้ในประชากรทั่วไปหรือกลุ่มเสี่ยงที่ยังไม่มีอาการ ในมะเร็งระยะเริ่มต้น ปริมาณ ctDNA ในกระแสเลือดมีน้อยมาก ส่งผลให้ความไว (Sensitivity) ของการตรวจยังไม่สูงพอ และอาจนำไปสู่ผลลบลวง (False Negative) ได้ดังนี้:


1. ความไวต่ำในระยะเริ่มต้น และความเสี่ยง "ผลลบลวง" (Low Sensitivity & False Negative Risk)

ปริมาณ ctDNA ในมะเร็งระยะที่ 1 หรือก่อนหน้านั้นมีน้อยมาก ทำให้เทคโนโลยีปัจจุบันอาจตรวจจับไม่พบ อาจสร้าง "ความมั่นใจที่คลาดเคลื่อน" (False Security) ทำให้อาจละเลยการตรวจคัดกรองมาตรฐาน เช่น การทำแมมโมแกรม ซึ่งอาจนำไปสู่การวินิจฉัยที่ล่าช้ากว่าเดิมหากเกิดเป็นมะเร็งขึ้นมาจริงๆ


2. ปัญหา "ผลบวกลวง" และผลกระทบที่ตามมา (The Problem of "False Positives" and Its Consequences)

การตรวจคัดกรองในคนหมู่มาก แม้ความจำเพาะ (Specificity) จะสูงถึง 99% แต่เมื่อนำไปใช้กับคนเป็นล้านๆ คน จำนวนผู้ที่ได้รับ "ผลบวกลวง" จะยังคงสูงมาก สาเหตุสำคัญมาจากภาวะ CHIP (การกลายพันธุ์ในเซลล์เม็ดเลือด)

  • สร้างความวิตกกังวลในผู้ที่ได้รับผลบวก

  • การตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติมเกินความจำเป็น (Over Diagnostic Investigation): ผู้ป่วยต้องเข้าสู่กระบวนการตรวจค้นหาที่สิ้นเปลืองและอาจมีความเสี่ยง เช่น การทำ PET/CT scan ทั่วร่างกาย, การส่องกล้อง หรือแม้กระทั่งการผ่าตัดโดยไม่จำเป็น เพื่อตามหามะเร็งที่ไม่มีอยู่จริง

  • ภาระต่อระบบสาธารณสุข: ทรัพยากรทางการแพทย์และบุคลากรต้องถูกใช้ไปกับการติดตามผลบวกลวงเหล่านี้


3. การระบุตำแหน่งของมะเร็ง (The "Tissue of Origin" Problem)

เมื่อผลตรวจ ctDNA ออกมาเป็นบวกในคนที่ไม่เคยมีประวัติมะเร็ง คำถามที่สำคัญที่สุดคือ "มะเร็งอยู่ที่ไหน?" เทคโนโลยี Liquid Biopsy รุ่นแรกๆ ไม่สามารถระบุตำแหน่งต้นกำเนิดของมะเร็งได้ ทำให้แพทย์ต้องเริ่มกระบวนการ "ค้นหา" มะเร็งทั่วร่างกาย ซึ่งเชื่อมโยงโดยตรงกับปัญหา การตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติมเกินความจำเป็นในข้อที่ 2 (แม้เทคโนโลยีรุ่นใหม่ๆ จะเริ่มวิเคราะห์ Methylation pattern เพื่อระบุตำแหน่งได้ดีขึ้น แต่ก็ยังไม่สมบูรณ์)


4. การวินิจฉัยเกินจำเป็น (Overdiagnosis)

การตรวจที่ไวมากอาจตรวจพบมะเร็งชนิดที่โตช้าและไม่เป็นอันตราย (Indolent Cancer) ซึ่งมะเร็งชนิดนี้อาจไม่มีวันก่อให้เกิดอาการหรือเป็นอันตรายต่อชีวิตของผู้ป่วยเลย นำไปสู่ "การรักษาเกินความจำเป็น" (Overtreatment) ผู้ป่วยอาจต้องเผชิญกับผลข้างเคียงจากการผ่าตัด การฉายรังสี หรือเคมีบำบัด โดยที่ไม่ได้รับประโยชน์ในการยืดอายุขัยอย่างแท้จริง


5. ความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ (Cost-Effectiveness)

ปัจจุบันการตรวจ Liquid Biopsy ยังมีราคาสูงมาก การนำมาใช้ตรวจคัดกรองประชากรทั้งประเทศหรือแม้แต่ในกลุ่มเสี่ยงต้องใช้งบประมาณมหาศาล การจะผลักดันให้เป็นนโยบายสาธารณสุขได้นั้น ต้องมีข้อมูลที่พิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่า ประโยชน์ที่ได้จากการตรวจพบมะเร็งเร็วขึ้นมีมากกว่าต้นทุนค่าตรวจและค่าใช้จ่ายในการติดตามผลบวกลวง ซึ่งข้อมูลดังกล่าวยังคงต้องรอผลการศึกษาขนาดใหญ่ในระยะยาว ด้วยข้อจำกัดที่สำคัญเหล่านี้ การใช้ Liquid Biopsy เพื่อการตรวจคัดกรองจึงยังคงอยู่ใน "ขอบเขตของงานวิจัย" เป็นหลัก และยังไม่ถูกแนะนำให้ใช้แทนที่การตรวจคัดกรองมาตรฐานที่มีอยู่

 

2.2 การติดตามโรคคงเหลือหลังการรักษา (Minimal Residual Disease - MRD)

  • การตรวจพบก่อนการกลับเป็นซ้ำ: ctDNA สามารถตรวจพบโรคที่ยังคงเหลืออยู่ได้เร็วกว่าการตรวจทางรังสีวิทยาเฉลี่ย 3.4–18.5 เดือน

  • การพยากรณ์โรค: ผู้ป่วยที่ไม่พบ ctDNA หลังสิ้นสุดการรักษามีแนวโน้มที่จะมีระยะเวลาปลอดโรค (Disease-free Survival) ที่ยาวนานกว่า ในขณะที่ผู้ที่ยังตรวจพบ ctDNA มีความเสี่ยงสูงถึง 85% ที่จะกลับเป็นซ้ำ

แม้ว่าการใช้ ctDNA ในการติดตาม MRD จะมีศักยภาพสูงในการตรวจพบการกลับเป็นซ้ำได้ล่วงหน้าและช่วยพยากรณ์โรค แต่ก็ยังมีข้อจำกัดและความท้าทายที่สำคัญที่ต้องคำนึงถึง ดังนี้:


1. ความไวในการตรวจ (Sensitivity) และความเสี่ยงต่อผลลบลวง (False Negatives)

โรคคงเหลือในระดับน้อยมาก (MRD) จะปล่อย ctDNA ออกมาในปริมาณที่ต่ำอย่างยิ่ง ซึ่งอาจต่ำกว่าขีดความสามารถที่เทคโนโลยีปัจจุบันจะตรวจจับได้ (Limit of Detection) อาจทำให้เกิด "ผลลบลวง" (False Negative) คือผู้ป่วยยังมีเซลล์มะเร็งหลงเหลืออยู่ แต่ผลตรวจออกมาเป็นลบ ทำให้ผู้ป่วยและแพทย์เกิดความมั่นใจที่คลาดเคลื่อน และอาจพลาดโอกาสในการเริ่มรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ


2. ความจำเพาะ (Specificity) และผลบวกลวงจากภาวะ CHIP (False Positives)

การกลายพันธุ์บางอย่างที่ตรวจพบอาจไม่ได้มาจากเซลล์มะเร็งเสมอไป แต่อาจมาจากภาวะ Clonal Hematopoiesis of Indeterminate Potential (CHIP) ซึ่งเป็นการกลายพันธุ์ในเซลล์เม็ดเลือดที่พบได้บ่อยขึ้นตามอาย อาจทำให้เกิด "ผลบวกลวง" (False Positive) คือผู้ป่วยอาจไม่มีเซลล์มะเร็งเหลืออยู่แล้ว แต่ผลตรวจออกมาเป็นบวก นำไปสู่ความวิตกกังวล การตรวจเพิ่มเติมที่ไม่จำเป็น หรือแม้กระทั่งการให้การรักษาเกินความจำเป็น (Overtreatment)


3. ชีววิทยาของมะเร็งที่แตกต่างกัน (Tumor Biology Heterogeneity)

มะเร็งแต่ละชนิด หรือแม้กระทั่งผู้ป่วยแต่ละราย มีความสามารถในการปล่อย DNA ออกสู่กระแสเลือด (Shedding) ไม่เท่ากัน ผู้ป่วยบางรายอาจเป็น "Low-shedder" หรือ "Non-shedder" ทำให้แม้จะมีโรคเหลืออยู่แต่ก็ตรวจไม่พบ ctDNA ทำให้การตรวจด้วย Liquid Biopsy ไม่สามารถใช้ได้ผลดีกับผู้ป่วยทุกราย และผลลบที่ได้อาจไม่ได้หมายความว่าไม่มีโรคเหลืออยู่จริงเสมอไป


4. ยังขาดแนวทางการรักษาที่ชัดเจน (Lack of Clear Clinical Actionability)

ปัจจุบันยังไม่มีข้อสรุปหรือแนวทางปฏิบัติที่เป็นมาตรฐานสากลว่า "ควรทำอย่างไรต่อไป" เมื่อตรวจพบ ctDNA ในภาวะ MRD หลักฐานจากการวิจัยขนาดใหญ่ที่สนับสนุนว่าการเริ่มรักษาทันทีจะช่วยยืดอายุขัยของผู้ป่วยโดยรวม (Overall Survival) ได้จริง ยังคงมีจำกัด แพทย์และผู้ป่วยต้องเผชิญกับการตัดสินใจที่ยากลำบาก ว่าจะเลือกเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดต่อไป หรือจะเริ่มการรักษาที่อาจมีผลข้างเคียงรุนแรงโดยที่ยังไม่มีข้อพิสูจน์ถึงประโยชน์ที่ชัดเจน


ตารางสรุปข้อจำกัดของการใช้ ctDNA ในการติดตาม MRD

ข้อจำกัด

คำอธิบาย

ผลกระทบต่อผู้ป่วย/การรักษา

ผลลบลวง (False Negative)

ปริมาณ ctDNA ต่ำเกินกว่าจะตรวจจับได้

เกิดความมั่นใจที่คลาดเคลื่อน, อาจทำให้การกลับเป็นซ้ำถูกตรวจพบช้า

ผลบวกลวง (False Positive)

ตรวจพบการกลายพันธุ์จากเซลล์เม็ดเลือด (CHIP)

ความวิตกกังวล, การตรวจ/รักษาเกินความจำเป็น

ชีววิทยาของมะเร็ง

ความสามารถในการปล่อย DNA ไม่เท่ากันในแต่ละบุคคล

วิธีนี้อาจใช้ไม่ได้ผลในผู้ป่วยบางกลุ่ม (Low-shedders)

แนวทางการรักษา

ยังไม่มีข้อพิสูจน์ชัดเจนว่าควรทำอย่างไรเมื่อผลเป็นบวก

ความไม่แน่นอนในการตัดสินใจเลือกแนวทางการรักษาขั้นต่อไป

 

2.3 การประเมินผลการให้ยาเคมีบำบัดก่อนผ่าตัด (Neoadjuvant Chemotherapy) มีความสำคัญอย่างยิ่งในมะเร็งเต้านมชนิด Triple-negative (TNBC):

  • การลดลงของระดับ ctDNA ระหว่างการรักษามีความสัมพันธ์กับการตอบสนองทางพยาธิวิทยาอย่างสมบูรณ์ (Pathological Complete Response - pCR)

  • ผู้ป่วยที่ยังคงตรวจพบ ctDNA หลังการผ่าตัด มีอัตราการกลับเป็นซ้ำของโรคสูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญ

การใช้ ctDNA เพื่อติดตามการตอบสนองต่อยาเคมีบำบัดก่อนผ่าตัดเป็นแนวทางที่มีศักยภาพสูง โดยเฉพาะในมะเร็งชนิด TNBC อย่างไรก็ตาม มีข้อจำกัดและประเด็นที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนจะนำมาใช้ในการตัดสินใจทางคลินิกได้จริง ดังนี้


1. ความแม่นยำในการทำนาย pCR ยังไม่สมบูรณ์ (Imperfect Prediction of pCR)

แม้การที่ ctDNA ลดลงจนตรวจไม่พบ (Clearance) จะเป็นสัญญาณที่ดีมาก แต่ก็ไม่ได้รับประกัน 100% ว่าผู้ป่วยจะมีการตอบสนองทางพยาธิวิทยาอย่างสมบูรณ์ (pCR) ในทางกลับกัน ผู้ป่วยบางรายอาจมี pCR ได้แม้จะยังตรวจพบ ctDNA ในระดับต่ำก็ตาม การใช้ผล ctDNA เพียงอย่างเดียวเพื่อตัดสินใจหยุดหรือลดความเข้มข้นของยาเคมีบำบัดก่อนกำหนดจึงมีความเสี่ยงสูง และยังไม่เป็นที่ยอมรับในแนวทางปฏิบัติมาตรฐาน


2. ยังไม่สามารถใช้ปรับเปลี่ยนการรักษาเป็นมาตรฐานได้ (Limited Actionability for Treatment Modulation)

เป็นข้อจำกัดที่สำคัญที่สุดในปัจจุบัน ถึงแม้จะตรวจพบว่า ctDNA ไม่ลดลง (บ่งชี้ว่าอาจไม่ตอบสนองต่อยา) แต่ยังไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ชัดเจนพอ จากการวิจัยขนาดใหญ่ว่า การปรับเปลี่ยนสูตรยาเคมีบำบัดตามผล ctDNA จะช่วยให้อัตราการรอดชีวิตโดยรวม (Overall Survival) ดีขึ้นได้จริง การตัดสินใจเปลี่ยนการรักษาโดยอ้างอิงจากผล ctDNA ยังคงอยู่ในขอบเขตของงานวิจัยทางคลินิก (Clinical Trials) เท่านั้น ยังไม่สามารถนำมาใช้เป็นแนวทางปฏิบัติมาตรฐานได้


3. การขาดมาตรฐานด้านจังหวะเวลาในการตรวจ (Lack of Standardized Timing)

ในปัจจุบันยังไม่มีข้อสรุปที่เป็นมาตรฐานว่าควรเจาะเลือดตรวจ ctDNA ณ เวลาใดจึงจะเหมาะสมที่สุด (เช่น หลังเคมีบำบัดเข็มที่ 1, 2 หรือก่อนการผ่าตัด) การให้ยาเคมีบำบัดเองก็อาจส่งผลกระทบต่อระดับ cfDNA ทั้งหมดในเลือด ทำให้การแปลผลซับซ้อนยิ่งขึ้น ผลการตรวจอาจแตกต่างกันได้ขึ้นอยู่กับจังหวะเวลาที่เจาะเลือด ทำให้ยากต่อการเปรียบเทียบข้อมูลระหว่างสถาบันและกำหนดจุดตัด (Cut-off) ที่ชัดเจนสำหรับการตัดสินใจ


4. การรบกวนจากภาวะ CHIP (Interference from CHIP)

เช่นเดียวกับบริบทอื่น การตรวจพบการกลายพันธุ์ในระดับต่ำหลังเริ่มการรักษา อาจเป็นสัญญาณจากภาวะ CHIP ไม่ใช่จากเซลล์มะเร็งที่ดื้อยาเสมอไป อาจนำไปสู่การแปลผลที่ผิดพลาดว่าผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่อการรักษา และอาจนำไปสู่การเพิ่มความเข้มข้นของยา (Treatment Escalation) โดยไม่จำเป็น


ตารางสรุปข้อจำกัดของการใช้ ctDNA ในการติดตามผล NACT

ข้อจำกัด

คำอธิบาย

ผลกระทบต่อการตัดสินใจทางคลินิก

การทำนาย pCR ไม่สมบูรณ์

ผล ctDNA เป็นลบ ไม่ได้รับประกัน 100% ว่าจะเกิด pCR

ไม่สามารถใช้เพื่อตัดสินใจหยุดการรักษามาตรฐานก่อนกำหนดได้

ยังไม่เป็นมาตรฐานในการปรับเปลี่ยนการรักษา

ไม่มีหลักฐานเพียงพอว่าการเปลี่ยนยาตามผล ctDNA จะช่วยให้ผู้ป่วยรอดชีวิตนานขึ้น

การตัดสินใจเปลี่ยนสูตรยายังคงต้องอยู่ในขอบเขตงานวิจัย

ขาดมาตรฐานด้านเวลา

ไม่มีข้อสรุปว่าควรเจาะเลือดตรวจเมื่อใดจึงจะดีที่สุด

ยากต่อการเปรียบเทียบผลและกำหนดแนวทางที่ชัดเจน

การรบกวนจาก CHIP

สัญญาณที่พบอาจไม่ใช่เซลล์มะเร็งที่ดื้อยา

อาจนำไปสู่การแปลผลว่าไม่ตอบสนองต่อยาอย่างคลาดเคลื่อน

 

2.4 การติดตามโรคระยะแพร่กระจายและกลไกการดื้อยา

  • การติดตามปริมาณของมะเร็ง (Tumor Burden Monitoring): ระดับ ctDNA ในเลือดมักจะสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงขนาดของก้อนมะเร็ง

  • การตรวจจับการกลายพันธุ์ที่ทำให้ดื้อยา: สามารถตรวจพบการกลายพันธุ์ใหม่ที่เกิดขึ้นระหว่างการรักษา เช่น การกลายพันธุ์ของยีน ESR1 ซึ่งสัมพันธ์กับการดื้อต่อยา Aromatase Inhibitor


    การใช้ Liquid Biopsy เพื่อติดตามปริมาณโรคและตรวจหากลไกการดื้อยาถือเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง และเป็นหนึ่งในการใช้งานที่ได้รับการยอมรับในแนวทางปฏิบัติแล้ว อย่างไรก็ตาม ยังคงมีข้อจำกัดที่ต้องพิจารณา ดังนี้:


1. ความไม่สอดคล้องกับผลตรวจทางรังสีวิทยา (Discordance with Radiographic Imaging)

อาจเกิดสถานการณ์ที่ระดับ ctDNA ในเลือดเพิ่มสูงขึ้น (บ่งชี้ว่าโรคอาจกำลังแย่ลง) แต่ผลการตรวจด้วย CT scan หรือ PET scan ยังคงแสดงว่าโรคสงบ (Stable Disease) ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า "Biochemical Progression without Radiographic Progression" สร้างความยากลำบากในการตัดสินใจอย่างมาก แพทย์จะต้องพิจารณาว่าจะเปลี่ยนการรักษาโดยอิงจากผลเลือดที่แย่ลง หรือจะรอจนกว่าจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนจากการทำ imaging ซึ่งยังไม่มีข้อสรุปที่เป็นมาตรฐาน


2. ข้อจำกัดจากชีววิทยาของมะเร็งและตำแหน่งของโรค (Limitations from Tumor Biology and Site of Metastasis)

  • Low/Non-Shedders: ผู้ป่วยบางรายมีเนื้องอกที่ไม่ปล่อย ctDNA ออกมาในปริมาณที่สูงพอ ทำให้ระดับ ctDNA ในเลือดไม่สะท้อนปริมาณของก้อนมะเร็งที่แท้จริง

  • ตำแหน่งของรอยโรค: การแพร่กระจายไปยังบางอวัยวะ เช่น สมอง (เนื่องจากมี Blood-Brain Barrier) หรือกระดูก อาจปล่อย ctDNA สู่กระแสเลือดได้น้อยกว่าการแพร่กระจายที่ตับหรือปอด


    ผู้ป่วยอาจมีโรคที่กำลังลุกลามในสมองหรือกระดูก แต่ระดับ ctDNA ในเลือดกลับไม่เพิ่มขึ้น ทำให้เกิดความมั่นใจที่คลาดเคลื่อน และตอกย้ำว่า Liquid Biopsy ไม่สามารถทดแทนการตรวจทางรังสีวิทยาตามรอบปกติได้


3. การแปลผลการกลายพันธุ์ที่ซับซ้อน (Complexity of Mutation Interpretation)

  • Subclonal Mutations: การกลายพันธุ์ที่ตรวจพบอาจมาจากเซลล์มะเร็งกลุ่มย่อย (Subclone) เพียงกลุ่มเล็กๆ ซึ่งอาจไม่ใช่สาเหตุหลักที่ทำให้โรคดื้อยา

  • การรบกวนจาก CHIP: ยังคงเป็นปัญหาที่ต้องแยกการกลายพันธุ์ของเซลล์มะเร็งออกจากการกลายพันธุ์ของเซลล์เม็ดเลือด


    การค้นพบการกลายพันธุ์ใหม่ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเปลี่ยนการรักษาเสมอไป การแปลผลต้องอาศัยความเชี่ยวชาญเพื่อประเมินความสำคัญทางคลินิก (Clinical Significance) ของการกลายพันธุ์นั้นๆ


4. ข้อมูลที่ยังไม่สามารถนำไปสู่การรักษาได้ (Non-Actionable Findings)

เทคโนโลยีอาจตรวจพบการกลายพันธุ์ที่ทำให้ดื้อยาได้อย่างแม่นยำ แต่ในปัจจุบันอาจจะยังไม่มียาแบบมุ่งเป้า (Targeted Therapy) ที่จำเพาะต่อการกลายพันธุ์นั้นๆ ที่ได้รับการอนุมัติให้ใช้ในมะเร็งเต้านมทำให้แพทย์และผู้ป่วยได้รับข้อมูลที่น่ากังวลแต่ไม่สามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการรักษาได้ในทันที ก่อให้เกิดความเครียดโดยที่ยังไม่มีทางเลือกในการรักษาเพิ่มเติม

ตารางสรุปข้อจำกัดของการใช้ ctDNA ในการติดตามโรคระยะแพร่กระจาย

ข้อจำกัด

คำอธิบาย

ผลกระทบต่อการวางแผนการรักษา

ความไม่สอดคล้องกับ Imaging

ผลเลือดแย่ลง แต่ผล CT scan ยังคงที่

ความไม่แน่นอนในการตัดสินใจว่าจะเปลี่ยนการรักษาเมื่อใด

ชีววิทยาและตำแหน่งของโรค

มะเร็งบางชนิด/บางตำแหน่งปล่อย ctDNA น้อย

ไม่สามารถใช้ทดแทนการทำ Imaging และอาจประเมินโรคต่ำกว่าความเป็นจริง

ความซับซ้อนในการแปลผล

การกลายพันธุ์ที่พบอาจไม่ใช่ตัวหลักที่ทำให้ดื้อยา

ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญสูงในการแปลผล และอาจนำไปสู่การรักษาที่ไม่ตรงจุด

 ไม่สามารถนำไปสู่การรักษาได้

พบการกลายพันธุ์ แต่ไม่มียาที่จำเพาะเจาะจง

สร้างความกังวลโดยที่ยังไม่มีทางเลือกในการรักษาเพิ่มเติม

 

3. การใช้ Liquid Biopsy เพื่อชี้นำการรักษา

  • การระบุการกลายพันธุ์ที่สามารถให้ยาแบบมุ่งเป้าได้ (Actionable Mutations): การตรวจพบการกลายพันธุ์ของยีน PIK3CA, HER2, ESR1 ช่วยให้แพทย์สามารถเลือกใช้ยาแบบมุ่งเป้า (Targeted Therapy) ได้อย่างเหมาะสม

  • การเปรียบเทียบบทบาทระหว่าง Tissue Biopsy และ Liquid Biopsy: 

    • Tissue Biopsy: ยังคงจำเป็นสำหรับการวินิจฉัยเริ่มต้น การตรวจ Fusion genes และ Copy Number Alterations ที่แม่นยำ

    • Liquid Biopsy (CGP): มีประโยชน์อย่างยิ่งเมื่อชิ้นเนื้อมีไม่เพียงพอ, ผู้ป่วยอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถทำหัตถการได้ หรือในสถานการณ์ที่ต้องการผลอย่างรวดเร็ว


      "การใช้ Liquid Biopsy เพื่อชี้นำการรักษา" เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นส่วนที่ส่งผลโดยตรงต่อการตัดสินใจเลือกยาให้กับผู้ป่วย การใช้ Liquid Biopsy เพื่อตรวจหาการกลายพันธุ์ที่สามารถให้ยาแบบมุ่งเป้าได้ (Actionable Mutations) ถือเป็นหนึ่งในประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมที่สุดของเทคโนโลยีนี้ อย่างไรก็ตาม การนำผลไปใช้จริงต้องเผชิญกับข้อจำกัดและความท้าทายหลายประการ

ข้อจำกัด:

1. ความเสี่ยงต่อผลลบลวง และการพลาดโอกาสในการรักษา (Risk of False Negatives and Missed Treatment Opportunities)

เป็นข้อจำกัดที่สำคัญที่สุดในบริบทนี้ ผู้ป่วยอาจมีการกลายพันธุ์ที่ตอบสนองต่อยา (เช่น PIK3CA) อยู่ในก้อนเนื้อจริง แต่เนื่องจากเนื้องอกนั้นเป็นชนิดที่ปล่อย DNA ออกมาน้อย (Low-shedder) ทำให้ตรวจไม่พบในเลือด ผลตรวจที่เป็น "ลบ" จาก Liquid Biopsy ไม่สามารถยืนยันได้ 100% ว่าไม่มีการกลายพันธุ์นั้นอยู่จริง และอาจทำให้ผู้ป่วย "พลาดโอกาส" ที่จะได้รับยาแบบมุ่งเป้าที่มีประสิทธิภาพ ด้วยเหตุนี้ แนวทางปฏิบัติส่วนใหญ่จึงยังแนะนำให้ตรวจชิ้นเนื้อ (Tissue Biopsy) หากผลจากเลือดเป็นลบแต่ยังคงสงสัยทางคลินิก


2. ความไม่สอดคล้องกันระหว่างผลชิ้นเนื้อและผลเลือด (Discordance between Tissue and Liquid Results)

อาจเกิดกรณีที่ผลตรวจจากชิ้นเนื้อและเลือดให้ผลไม่ตรงกัน ซึ่งเกิดจากความหลากหลายทางชีววิทยาของมะเร็ง (Tumor Heterogeneity) หรือการเปลี่ยนแปลงของมะเร็งไปตามกาลเวลา (Temporal Evolution) ก่อให้เกิดภาวะที่ตัดสินใจได้ยาก (Clinical Dilemma) ว่าควรเชื่อผลการตรวจใดมากกว่ากัน โดยทั่วไปหาก Liquid Biopsy ให้ผล "บวก" มักจะน่าเชื่อถือ แต่หากให้ผล "ลบ" ความน่าเชื่อถือจะน้อยกว่า และมักให้น้ำหนักกับผลจากชิ้นเนื้อมากกว่า


3. ข้อจำกัดในการตรวจจับการกลายพันธุ์บางประเภท (Limitations in Detecting Certain Mutation Types)

Liquid Biopsy มีประสิทธิภาพสูงในการตรวจจับการกลายพันธุ์เฉพาะจุด (Point Mutations) แต่มีความสามารถจำกัดในการตรวจหาการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมรูปแบบอื่น เช่น:

  • Gene Fusions (การเชื่อมต่อกันของยีน): ตรวจจับได้ยากจากชิ้นส่วน DNA ที่แตกหักในเลือด

  • Copy Number Alterations (การเพิ่มหรือลดจำนวนชุดของยีน): โดยเฉพาะการประเมิน HER2 amplification ซึ่งการตรวจจากชิ้นเนื้อ (IHC/FISH) ยังคงเป็นมาตรฐานหลัก


     Liquid Biopsy ไม่สามารถทดแทนการตรวจทางพันธุกรรมจากชิ้นเนื้อได้ทั้งหมด การเลือกวิธีการตรวจจึงต้องขึ้นอยู่กับชนิดของการกลายพันธุ์ที่ต้องการหา

 

4. การเข้าถึงยาและการอนุมัติใช้ (Drug Access and Regulatory Hurdles)

แม้การตรวจจะพบ "Actionable Mutation" แต่ยาแบบมุ่งเป้าที่จำเพาะต่อการกลายพันธุ์นั้นอาจยังไม่ได้รับการอนุมัติให้ใช้สำหรับมะเร็งเต้านมในไทย หรืออาจมีราคาที่สูงมากและไม่ครอบคลุมอยู่ในสิทธิการรักษา เป็นช่องว่างระหว่าง "ข้อมูลที่ตรวจพบ" กับ "การรักษาที่ให้ได้จริง" ซึ่งอาจสร้างความคาดหวังและก่อให้เกิดความผิดหวังแก่ผู้ป่วยได้

ตารางสรุปข้อจำกัดของการใช้ Liquid Biopsy เพื่อชี้นำการรักษา

ข้อจำกัด

คำอธิบาย

ผลกระทบต่อการเลือกแนวทางการรักษา

ผลลบลวง (False Negative)

ตรวจไม่พบการกลายพันธุ์ที่มีอยู่จริงในก้อนเนื้อ

ผู้ป่วยอาจพลาดโอกาสในการได้รับยาแบบมุ่งเป้าที่มีประสิทธิภาพ

ผลตรวจไม่สอดคล้องกัน

ผลเลือดและผลชิ้นเนื้อขัดแย้งกัน

เกิดความสับสนในการตัดสินใจ และต้องอาศัยดุลยพินิจของผู้เชี่ยวชาญ

ข้อจำกัดทางเทคนิค

ตรวจจับการเปลี่ยนแปลงบางชนิดได้ไม่ดี (เช่น Gene fusions, HER2 amp)

จำเป็นต้องเลือกใช้ Tissue Biopsy สำหรับการหาเป้าหมายการรักษาบางชนิด

การเข้าถึงยา

ตรวจพบเป้าหมาย แต่ไม่มียาให้ใช้ หรือยานอกสิทธิการรักษา

ข้อมูลที่ได้มาไม่สามารถนำไปสู่การรักษาที่เป็นประโยชน์ได้จริง

 

5. สถานะการอนุมัติและแนวทางปฏิบัติสากล

  • การอนุมัติโดย FDA (สหรัฐอเมริกา):

    • (✓) อนุมัติ: สำหรับใช้ในผู้ป่วยระยะแพร่กระจาย (Metastatic Setting) เพื่อตรวจหาการกลายพันธุ์ที่จำเพาะต่อยา

    • (✗) ยังไม่อนุมัติ: สำหรับการตรวจคัดกรอง (Screening) หรือใช้เป็นเครื่องมือติดตาม MRD ตามมาตรฐาน

  • แนวทางจากแนวทางปฏิบัติในระดับสากล เช่น ESMO, NCCN: 

    • แนะนำให้ใช้ Liquid Biopsy เมื่อการตรวจจากชิ้นเนื้อ (Tissue) เป็นไปได้ยาก

    • แนะนำให้ตรวจซ้ำได้ในกรณีที่ผลเป็นลบแต่ยังคงสงสัยว่ามีโรคอยู่

6. สรุป

มิติความท้าทาย

รายละเอียด

ความไว (Sensitivity)

ยังมีข้อจำกัดในมะเร็งระยะเริ่มต้น เนื่องจากมีปริมาณ ctDNA ต่ำ

ความจำเพาะ (Specificity)

อาจเกิดผลบวกลวง (False Positive) จากภาวะ Clonal Hematopoiesis (CHIP) ซึ่งเป็นการกลายพันธุ์ในเซลล์เม็ดเลือดที่ไม่ใช่มะเร็ง

การสร้างมาตรฐาน (Standardization)

กระบวนการตรวจวิเคราะห์ การรายงานผล และการแปลผลยังขาดมาตรฐานกลางที่เป็นสากล

ความคุ้มค่า (Cost-Effectiveness)

ต้นทุนการตรวจยังคงสูง และต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อพิสูจน์ความคุ้มค่าในบริบทต่างๆ

ทิศทางในอนาคต

  • AI-based Algorithms: การนำปัญญาประดิษฐ์มาช่วยวิเคราะห์ข้อมูล ctDNA เพื่อพยากรณ์โรคและติดตามการเปลี่ยนแปลงแบบเรียลไทม์

  • Multi-omics Platforms: การบูรณาการข้อมูลหลายชนิด (พันธุกรรม, โปรตีน, เมทิลเลชัน) เพื่อสร้างแบบจำลองการพยากรณ์โรคที่มีความแม่นยำสูงสุด

  • การวิจัยทางคลินิกขนาดใหญ่: เพื่อสร้างหลักฐานเชิงประจักษ์ที่หนักแน่นและผลักดันให้ Liquid Biopsy เข้าสู่แนวทางการปฏิบัติมาตรฐาน

การตรวจวิเคราะห์ ctDNA หรือ Liquid Biopsy เป็นเครื่องมือสำคัญในการดูแลผู้ป่วยมะเร็งเต้านมแบบเฉพาะบุคคล แม้จะยังไม่สามารถใช้ทดแทนการวินิจฉัยหลักได้ทั้งหมด แต่มีประโยชน์อย่างยิ่งในการติดตามการรักษา, ชี้แนวทางการใช้ยาแบบมุ่งเป้า และเฝ้าระวังการดื้อยา ซึ่งในอนาคตมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นมาตรฐานในการดูแลผู้ป่วยต่อไป

 

Comments


image.png
bottom of page